วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

สวลี ผกาพันธ์.....กฎแห่งกรรม





เพราะเธอวางไม่ลง จึงไม่ว่าง

เสาะหาทางย่างก้าว ที่ร้าวรก


เพราะมายาลุ่มหลง ปลงไม่ตก


จึงเวียนวกวนว่าย สายธารกรรม.












วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ต้องการอะไร



ต้องการอะไรใยไม่บอก
มันเจ็บยอกข้างในใจสลาย
เมื่อคนดีพี่น้องต้องล้มตาย
มันโหดร้ายยิ่งกว่า..นรกเยือน

โศกนาฏกรรมระยำชัด
มันแว้งกัดไม่ปล่อยซ้ำรอยเฉือน

ตายทุกวันนิทานการลบเลือน
 สิ่งย้ำเตือนคืออะไร...ใยไม่รู้


คนบริสุทธิ์ล้มลงที่ตรงหน้า
ศาสนาสอนบทสวดมนต์หมู่
ท่ามน้ำเสียงน้ำตาที่พร่าพรู
น่าอดสูเหลือทน...คน-ชีวิต.


งาม...



งามก็บอกว่างามตามรู้สึก
จิตสำนึกเป็นจริงสิ่งมองเห็
ความงามถ้าไม่งามตามที่เป็น
เพราะจิตเร้นเห็นว่า..มันไม่งาม

ลมหวน




เมื่อลมเหนือหวลมาตอนฟ้าค่ำ

ยินลำนำค่ำคืนสะอื้นหวล


ใจเอยอยู่ไหนในคืนครวญ


สุดเศร้าจวนสลาย..กลางสายลม





เจ็บลึกลึกนึกรู้สึก

ยิ่งลมดึกพัดหวลห่ม


ลมหนาวร้าวอารมณ์



ใจดิ่งจมกับลมคำ










วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

เปลือก





มองภายนอกมาดมั่นชวนขวัญหาย

มองเพียงกายโดดเ่ด่นเช่นเป็นอยู่


แต่สมองกลับกลวง.ลวงคนดู


ว่าที่หรูนั่นคือเปลือก..ที่เลือกมา..






วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

...?...


สะทก สะท้าน สะอื้น
เมื่อแผ่นผืน ดินนี้ ปรี่ด้วยน้ำ
เดือดร้อนกัน ทั่วประเทศ ทุกเขตคาม

นั่นรัฐบาล ตามใคร ..ไปเขมร

เที่ยวขี่ม้า เลียบค่าย ทำไมเล่า
อัญเชิญเขา เข้ามา อย่าทำเร้น
คารวาน ต้อนรับ จับประเด็น
ทำตัวเช่น เป็นอยู่ ดูชอบกล


คนเขารู้ เข้าใจ ใครนายก
ทำตลก แถวชายแดน แสนสับสน
เชิญกลับเข้า มานั่ง บัลลังก์ตน
อย่าเล่นกล เช่นนี้ ไม่ดีเลย


กลับมาช่วย คนกล้า กาเบอร์หนึ่ง
ให้ซาบซึ้ง ถึงก้นบึ้ง อย่าพึงเฉย
เขานั่งรอ คนช่วย หวังรวยเลย
พี่น้องเอ๋ย ที่ช่วยนั้น คนชั้นไหน


ลดภาษี รถยนต์ คนเห็นเห็น
ดีใจจน เนื้อเต้น ได้รถใหม่
เต็มถนน รนแคม แถมกันไป
ขับอย่างไร รถติด (ค่อย) คิดอีกที


ทำเข้าไป ทุนนิยม สมคุณค่า
ให้ประชา ถึงพร้อม การย้อมสี
หลงอยู่กับ วัตถุ ลุโลกีย์
เปลี่ยนวิถี งดงาม ตามนายทุน



กฎหมายหรือกฎกู


เพียงเห็นข่าวหัวใจมันเจ็บปวด
มันมาอวดศักดาท้ากฏหมาย
ให้พ่อมันพ้นผิดไม่คิดอาย
สร้างกฏใหม่ทำลายล้างสร้างกฎกู





ทำเพื่อคนหนึ่งคนให้พ้นคุก
คนที่ทุกข์แร้นแค้นแสนอดสู
แพะในห้องขังไปฟังดู
เขายังสู้ตามกระบวนยุติธรรม





เป็นถึงผู้นำของประเทศ
ช่างทุเรศน่าชังฟังแล้วขำ
เป็นแบบอย่างประชาตาดำดำ
เป็นผู้นำ แม้ทำผิด มีสิทธิ์รอด


แด่..ผอ.ปลูกปัญญา

หกสิบปีที่เกษียณ
คือดวงเทียนที่ส่องแสง
ผู้กำกับการแสดง
ผู้กล้าแกร่งแห่งนาวา
 

ผู้นำใช่ว่าใครเป็นได้
หากว่าไม่มุ่งมั่นหรือฟันฝ่า
ปลูกฝันปลูกปัญญา
ปลูกหน่อกล้าให้แผ่นดิน
 

ค่าของคนอยู่ตรงที่
สร้างความดีมิรู้สิ้น
ฝากไว้ในธรณินทร์
คนทุกถิ่นได้ยินไกล


มาถึงแล้วเวลาพัก
หยุดงานหนักพักได้ไหม
พวกเรานี้ที่เข้าใจ

ทำงานใหญ่วางไม่ลง

ต้องวางใจต่อไปนี้
เพื่อน/น้อง/พี่ที่ประสงค์
สืบสานงานดำรง
รากมั่นคง..จักงดงาม


วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

ฟ้าพิโรธ


ฟ้าคงจะพิโรธโกรธมนุษย์
ที่ไม่หยุดทำลายทั้งหลายนั่น
จะก่อสร้างกันไปถึงไหนกัน
ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ไม่พอใจ

ถึงเวลาเอาคืนสะอื้นร่ำ
การกระทำผ่านมากว่าทนไหว
จึงลงโทษกฎแห่งกรรมที่ทำไป
จะห้ามใครให้หยุด..มนุษย์เอ๋ย
....


คืนไร้ดาว




ยามท้องฟ้ามืดครึ้มซึมซับน้ำ
ดาวคงข้ามหลบเร้นไม่เห็นหน้า
เถอะเมื่อเจ้าจะไปไม่บอกลา
ให้ท้องฟ้ามืดบอด...ตลอดคืน



วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

ของฝาก




เก็บก้อนกรวดก้อนใสใสใส่ในขวด

เก็บไปอวดคนภูเขาใต้เงาฟ้า

จับปูลมไปฝากหากเขามา

เก็บสายตาซึ้งซึ้ง..ฝากถึงเธอ







ยิ้มกลางสายฝน





ลมกระชากกิ่งไม้ที่ใกล้บ้าน
ให้หักราญลงมาคาถนน
หวีดหวิวหวือผือกระโหมแรงลมบน
ประตูกลทุกทิศปิดปังปัง

ทั้งเสียงฝนเสียงลมโหมกระหน่ำ
กระชากช้ำตะลึงลนเกินคนสั่ง
อะไรนี่ลมโยกโบกประดัง
มาอีกครั้ง ลมฝน...เกินทนแล้ว




วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

เกษียณอายุ ผอ.ธรากร เหล็กกล้า



"ธรากร เหล็กกล้า"ผู้ท้าฝัน
ได้สร้างสรรค์ปลูกปัญญาให้กล้าแกร่ง
การศึกษามิใช่การแสดง
ต้องรู้แจ้งเข้าใจในปรัชญา


เป็นผู้สร้างผู้ปลูกลูกชาวบ้าน
ให้เบ่งบานสานความรู้สู้ปัญหา
ประชาชนเลื่อมใสใจศรัทธา
คือคนเก่งคนกล้า"ธรากร"


มันสมองสองมือที่พัดโบก
ได้พลิกโลกการศึกษาที่ล้าอ่อน
ให้แข็งแกร่งจิตอาสาเอื้ออาทร
 มองภาพย้อนปรากฎเป็นบทเรียน


คนทำจริงรู้จริงไม่นิ่งเฉย
ให้ผ่านเลยวันเวลามักมาเปลี่ยน
ทำตั้งแต่วันนี้มีความเพียร
เมื่อเกษียณได้สดับกับผลงาน


ถึงเวลาให้พักก็ต้องพัก
สิ่งประจักษ์คือความหลังใช่สังขาร
สมองที่เปี่ยมล้นแม้พ้นกาล
อาจต้องสานงานต่ออย่าท้อไป


เมื่อเวลาบุคคลพ้นเกษียณ
ชีวิตเปลี่ยน วิถี เคยมีให้
อาจจะเหงาไปบ้างเพื่อนห่างไกล
แต่หัวใจเราทุกดวง..ห่วง ผอ.


จะไปเยี่ยมไปพบเคารพรัก
จะไม่ผลักรับรองไม่ต้องท้อ
จะรอท่านที่ปรึกษาตั้งตารอ
วันนี้ขอให้ท่านพัก...ก่อนสักวัน.


...


อยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว




ได้โปรดปล่อยฉันบ้างทางสายนี้
อย่ามานี่โน่นนั่นให้หวั่นไหว
อย่ามากวนเช้าซี้พิรี้พิไร
อย่าเฉไฉหลงตามความวุ่นวาย

ฉันอยากคิดของฉันบ้างอย่างเงียบเงียบ
ไม่เอาเปรียบผู้ใดใครทั้งหลาย
ไม่หวือหวาโดดเด่นเช่นรุ้งพราย
ไม่อยากได้ของใคร..ไปครอบครอง


อย่าระแวงระวังต้องสั่งห้าม
อย่ามาตามมาติดมาชิดข้อง
เชิญเถิดนะเชิญเถิดหนอฉันขอร้อง
ฉันไม่ต้องการใคร...ในตอนนี้




วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ถ้าหัวใจฉันมีปีก

อยากผกผินบินไปให้เหมือนนก
เห็นวิหคบินผ่านหมอกม่านฟ้า
อิสระยิ่งนักสกุณา
อยากปีกกล้าขาแข็งต้านแรงลม




บินไปหาหัวใจอยู่ไกลโพ้น
ยานทะโยนเลาะฟ้าให้สาสม
จะกางปีกก้าวข้ามตามอารมณ์

เพื่อซุกห่มแห่งรัก..สักคราครั้





วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ดอกหญ้า





ดอกหญ้าดอกนี้มีใครเห็น

ลมพัดเล่นไหวหวิวจนปลิวว่อน


ละอองดอกหญ้าบนนาดอน


ยังไหวอ่อนลู่เล่น..เป็นล้อลม






ใครบอกดอกหญ้ามีค่าน้อย



ปลิวลมลอยฝอยฟุ้งในทุ่งกว้่าง



ดอกหญ้าทำหน้าที่เพื่อชี้ทา



สายลมบางเปลี่ยนพริ้ว...ก็ปลิวตาม






เหมือนใจคนรวนเรและเหหัน



ไม่คงมั่นสั่นคลอนเอนอ่อนหวาม



กระทบเหตุอันใดในนิยาม



ก็โอนเอนไหวตาม..ความเป็นไป









วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

เหนื่อยไหมเจ้าสายลม



หยิบอารมณ์งามงามของความคิด
มาลิขิตขีดวาดกระดาษขาว
เป็นวลีสั้นสั้นสรรเรื่องราว
เพื่อบอกกล่าวแก่คนไกลในความคิด


ฟ้าคืนนี้มีเดือนเป็นเพื่อนขวัญ
 แว่วลำนำเพลงจันทร์กระชันชิด
 เหมือนว่าต้องมนตราประกาศิต
 ให้ตรึงติดกับเพลงพรมสายลมไล้


 คิดถึงมากคืนหนาวดาวกระพริบ
คิดถึงเสียงกระซิบใจพริบไหว
สะเทินสะท้านซ่านหทัย
คิดถึงใครกันนะ...เวลานี้






คนเหงา โลกเหงา

คนเหงา โลกเศร้า ร้าวร้อน
ถูกต้อน จนมุม สุมขอน
สังคม ตกล่ม ลุ่มดอน
ไฟฟอน ลุกโหม โลมเมือง

คนเหงา เพราะไร้ ที่พึง
ปัญหา รัดตรึง สืบเนื่อง
สลด เร้นแร้น แค้นเคือง
แดงเหลือง ขับเค้น เส้นทาง

ประเทศ หายใจ อึดอัด
อัตคัด ความคิด ติดขวาง
ทางออก มองเห็น เลือนลาง
จะสร้าง แปงเมือง เรื่องไกล (เกิน)


ปล่อยผี ครองเมือง เรืองรู้
อดสู ไร้สกุล สถุลไพร่
ยุคนี้ อนาถ ชาติไทย
ฉะนี้ไซ้ร สั่งสม นมนาน

สำนึก พลเมือง กลายกลับ
สำทับ เงินข้า เป็นตราสาร
ซื้อได้ กระทั่ง สั่งการ
ซื้อบ้าน ซื้อเมือง ไปครอง


วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

เดินเดียวดาย






เดินทางคนเดียวอาจเปลี่ยวจิ


ขาดคู่คิดตัดสินใจในปัญหา

แต่หาใช่อุปสรรคหว่างมรรคา


ทางข้างหน้าเจออะไรยังไม่รู้



มันท้าทายหัวใจอยู่ไม่น้อย

เก็บเกี่ยวสอยความจริงสิ่งเห็นอยู่

พบเห็นคนมากหน้าสายตาดู

พบประตูทางออกนอกกฎเกณฑ์